ความหมายของเหรียญกษาปณ์
เหรียญกษาปณ์ หมายถึง เงินเหรียญ คือ เงินตราที่ทําด้วยโลหะ ส่วนใหญ่ทำเป็นรูปกลมแบน. เหรียญที่เป็นเงินตราหรือเหรียญที่ระลึกของไทย จะผลิตที่โรงกษาปณ์ สำนักกษาปณ์ กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง. คำว่า กษาปณ์ สะกดได้ ๒ รูป รูปหนึ่งเขียน กษาปณ์ อีกรูปหนึ่งเขียน กระษาปณ์. คำว่า กษาปณ์ มาจากคำภาษาสันสกฤตว่า การฺษาปณ (อ่านว่า การ-สา-ปะ-นะ) แปลว่า ซึ่งเกี่ยวข้องกับ กรรษะ (อ่านว่า กัน-สะ) ซึ่งหมายถึง น้ำ- หนักของเงินหรือทอง ๑ กรรษะ เท่ากับ ๓.๗๔๕๔๔ กรัม. การฺษาปณ จึงหมายถึง เงินเหรียญที่ทำด้วยทองคำน้ำหนัก ๑ กรรษะ.
ชนิดของเหรียญกษาปณ์
เหรียญกษาปณ์ หมายถึง เงินเหรียญ คือ เงินตราที่ทําด้วยโลหะ ส่วนใหญ่ทำเป็นรูปกลมแบน. เหรียญที่เป็นเงินตราหรือเหรียญที่ระลึกของไทย จะผลิตที่โรงกษาปณ์ สำนักกษาปณ์ กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง. คำว่า กษาปณ์ สะกดได้ ๒ รูป รูปหนึ่งเขียน กษาปณ์ อีกรูปหนึ่งเขียน กระษาปณ์. คำว่า กษาปณ์ มาจากคำภาษาสันสกฤตว่า การฺษาปณ (อ่านว่า การ-สา-ปะ-นะ) แปลว่า ซึ่งเกี่ยวข้องกับ กรรษะ (อ่านว่า กัน-สะ) ซึ่งหมายถึง น้ำ- หนักของเงินหรือทอง ๑ กรรษะ เท่ากับ ๓.๗๔๕๔๔ กรัม. การฺษาปณ จึงหมายถึง เงินเหรียญที่ทำด้วยทองคำน้ำหนัก ๑ กรรษะ.
ชนิดของเหรียญกษาปณ์
1. เหรียญกษาปณ์หมุนเวียน (Circulated coins) เป็นเหรียญกษาปณ์ที่ใช้หมุนเวียนกันอยู่ทั่วไปในชีวิตประจำวัน มี 9 ชนิดราคา คือ 10 บาท, 5 บาท, 2 บาท, 1 บาท, 50 สตางค์, 25 สตางค์, 10 สตางค์, 5 สตางค์ และ 1 สตางค์ แต่ที่ใช้หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมี 6 ชนิดราคา คือ 10 บาท, 5 บาท, 2 บาท, 1 บาท, 50 สตางค์, 25 สตางค์ ส่วนเหรียญชนิดราคา 10 สตางค์, 5 สตางค์ และ1 สตางค์ มีใช้ในทางบัญชีเท่านั้น
2. เหรียญกษาปณ์ที่ระลึก (Commemorative coins) เป็นเหรียญกษาปณ์ที่ผลิตออกใช้ในวโรกาสและโอกาสที่สำคัญตทางประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับสถาบันคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ หรือเหตุการณ์ระหว่างประเทศ โดยจัดทำ 2 ประเภท คือ ขัดเงา และไม่ขัดเงา
ข้อแตกต่างระหว่างเหรียญกษาปณ์หมุนเวียน และเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกก็คือการวางลวดลายด้านหน้าและด้านหลัง โดนเหรียญกษาปณ์หมุนเวียนจะวางลวดลายแบบ American Turning ซึ่งจะต้องพลิกดูลวดลายด้านหลังในแนวดิ่ง สำหรับเหรียญกษาปณ์ที่ระลึกได้จัดวางลวดลายแบบ European Turning ซึ่งจะต้องพลิกในแนวนอนเพื่อดูลวดลายด้านหลัง
เหรียญกษาปณ์มีการใช้ในประเทศไทยครั้งแรกเหรียญเงินทวาราวดี
เป็นเงินเหรียญคล้ายปัจจุบัน ส่วนมากพบที่นครปฐมและอู่ทอง เป็นเงินที่ใช้อยู่ในประเทศอินเดีย ตอนใต้สมัยโบราณ เงินที่พบมีตราเกี่ยวศาสนาพราหมณ์ทั้งหมด เช่น เป็นรูปสังข์ รูปศรีวัตสะ

เป็นเงินเหรียญคล้ายปัจจุบัน ส่วนมากพบที่นครปฐมและอู่ทอง เป็นเงินที่ใช้อยู่ในประเทศอินเดีย ตอนใต้สมัยโบราณ เงินที่พบมีตราเกี่ยวศาสนาพราหมณ์ทั้งหมด เช่น เป็นรูปสังข์ รูปศรีวัตสะ

เงินลานนา-เงินอานม้าเป็นเงินจีนนิยมใช้กันแถบยูนาน และใช้กันลงมาถึงภาคเหนือของไทย ทำด้วยเงินบริสุทธิ์ เป็นรูปสี่เหลี่ยม มีตราประทับเป็นภาษาจีน ไทยเราใช้มาก่อนที่จะอพยพ และนำติดตัวมาด้วย

เงินลานนา-เงินมุ่น , ไซซี (เรือสำเภา)เป็นเงินที่ไทยคิดขึ้น ดัดแปลงจากเงินแท่งของจีน ทำเป็นรูปเรือสำเภา ราคา 50 ตำลึงจีน รัฐบาลทำมีพระนามยี่ห้อประทับเป็นสำคัญ ทำด้วยเงินเกือบบริสุทธิ์

เงินลานนา-เงินท้อกเป็นเงินสมัยพระเจ้าเม๊งรายมหาราช เงินท้อกมีขนาดใหญ่ 3 นิ้ว รูปฝาหอย ท้อกหนึ่งมีราคา 3 บาท เงินท้อกที่ใช้ในที่ต่างๆ แบ่งออกเป็นหลายชนิด เช่น เงินท้อกเชียงใหม่ เงินท้อกเมืองน่าน

เงินลานาน-เงินเจียง
เป็นรูปกำไลมือ ลักษณะเป็นรูปเกือกม้าสองวงปลายต่อกัน ตรงที่ต่อทำกิ่ว ที่ตัววงตีตราอักษรไทย มีตราเล็กๆอีก2-3 ดวง เงินเจียงมีราคา 4 บาท หรือ 1 ตำลึงไทย สิบสลึง หรือตำลึงจีน หนึ่งบาท ครึ่งบาท และเฟื้อง
เป็นรูปกำไลมือ ลักษณะเป็นรูปเกือกม้าสองวงปลายต่อกัน ตรงที่ต่อทำกิ่ว ที่ตัววงตีตราอักษรไทย มีตราเล็กๆอีก2-3 ดวง เงินเจียงมีราคา 4 บาท หรือ 1 ตำลึงไทย สิบสลึง หรือตำลึงจีน หนึ่งบาท ครึ่งบาท และเฟื้อง

เงินลานนา-เงินดอกผักชี
ใช้กันในสมัยอาณาจักรลานนาไทย มีราคาตามน้ำหนักของเงิน ด้านหน้าและด้านหลังเป็นเงินเกือบบริสุทธิ์
ใช้กันในสมัยอาณาจักรลานนาไทย มีราคาตามน้ำหนักของเงิน ด้านหน้าและด้านหลังเป็นเงินเกือบบริสุทธิ์

เงินลานช้าง-เงินฮ้อย
เป็นเงินสมัยเดียวกับเงินเจียงของลานนา แต่เงินฮ้อยใช้กันทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขง เงินฮ้อยเป็นเงินเจือธาตุทองแดงและทองเหลือง รูปร่างคล้ายชล่า ท้ายเรียวเล็กน้อย มีหลายราคา เช่น เงินฮ้อยน้ำ 3 มีเงิน 3 ส่วน หรือราคา 3 บาท
เป็นเงินสมัยเดียวกับเงินเจียงของลานนา แต่เงินฮ้อยใช้กันทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขง เงินฮ้อยเป็นเงินเจือธาตุทองแดงและทองเหลือง รูปร่างคล้ายชล่า ท้ายเรียวเล็กน้อย มีหลายราคา เช่น เงินฮ้อยน้ำ 3 มีเงิน 3 ส่วน หรือราคา 3 บาท


เป็นเงินสมัยเดียวกับเงินลานนา และเงินลานช้าง มีลักษณะเป็นขด กลมคล้ายด้วง ส่วนปลายงอเข้าหากัน มีรอยบากลึกทั้งสองขา บนก้อนเนื้อเงินมีตราตอกอยู่ตั้งแต่ 2 ดวง จน 7 ดวง เห็นได้ชัดคือ ตราช้าง ตราราชสีห์ เงินพดด้วงมีราคาตั้งแต่ 4 บาท ลงมาถึง 1 บาท

พดด้วงรัตนโกสินทร์-รัชกาลที่1พดด้วงเงินนี้ประทับตราพระแสงจักร -พระมหาอุณาโลม ซึ่งเป็นพระบรมราชสัญญาลักษณ์ ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มหาราช เงินพดด้วงนี้มีราคาตั้งแต่ ตำลึงบาท กึ่งบาท สลึง เฟื้อง กึ่งเฟื้อง (สองไพ) และไพ เงินนี้ผลิตออกใช้เมื่อ พ.ศ.2328


พดด้วงรัตนโกสินทร์-รัชกาลที่3
ประทับตราพระแสงจักร-ปราสาท ซึ่งเป็นพระบรมราชสัญลักษณ์ ในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เงินพดด้วงนี้มีราคาตั้งแต่ ตำลึง กึ่งตำลึง บาท สลึง เฟื้อง ไพ ผลิตใช้เมื่อ พ.ศ.2367
ประทับตราพระแสงจักร-ปราสาท ซึ่งเป็นพระบรมราชสัญลักษณ์ ในพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เงินพดด้วงนี้มีราคาตั้งแต่ ตำลึง กึ่งตำลึง บาท สลึง เฟื้อง ไพ ผลิตใช้เมื่อ พ.ศ.2367

พดด้วงรัตนโกสินทร์-รัชกาลที่4ประทับตราพระแสงจักร-พระมหามงกุฎ ซึ่งเป็นพระบรมราชสัญลักษณ์ ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เงินพดด้วงนี้มีราคาตั้งแต่ บาท กึ่งบาท สลึง เฟื้อง ไพ ผลิตใช้เมื่อ พ.ศ.2394

** ต่อมา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 เป็นพระมหากษัตริย์ไทย พระองค์แรกที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิรูปเงินตราไทย จากที่เคยใช้เงินพดด้วง หรือเงินกลมที่ใช้มาแต่โบราณกาลให้มาใช้เงินเหรียญหรือเงินแบน แบบประเทศทางตะวันตก
ทรงได้โปรดเกล้าฯ ให้ประเทศใช้เงินเหรียญนอกครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.๒๓๙๙ ครั้งที่สองเมื่อ ปี พ.ศ.๒๔๐๐ และได้ประกาศพิกัดเงินเหรียญนอก เมื่อ ปี พ.ศ.๒๔๐๗ จนถึงปี พ.ศ.๒๔๔๕ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ จึงได้ยกเลิกการใช้เหรียญนอก
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ได้ทรงสั่งเครื่องทำเหรียญกษาปณ์จากอังกฤษมาผลิตเหรียญกษาปณ์ในไทย** (เหรียญกษาปณ์ที่มีรูปแบบเช่นเดียวกับปัจจุบัน) ** ติดตั้งเครื่องใช้งานได้เมื่อ ปี พ.ศ.๒๔๐๓ พระราชทานชื่อว่า โรงกษาปณ์ สิทธิการตั้งอยู่หน้าพระคลังมหาสมบัติตรงมุมถนนออกประตูสุวภาพบริบาลด้านตะวันออกและได้ผลิตเหรียญบาท เหรียญสองสลึง เหรียญสลึง เหรียญเฟื้อง แต่ผลิตได้น้อยไม่พอแก่ความต้องการ
เหรียญกษาปณ์ รัชกาลที่ 4
เหรียญนี้ผลิตออกแทนพดด้วงโดยผลิตจากเครื่องจักรที่สั่งซื้อ จากประเทศอังกฤษ เป็นเหรียญแบน ด้านหน้าเป็นรูปมหามงกุฎเปล่งรัศมี มีฉัตรกระหนาบ 2 ข้าง ด้านหลังเป็นรูปช้างยืนอยู่ตรงกลางพระแสงจักร เหรียญนี้มีราคาตั้งแต่ กึ่งบาท บาท สลึง เฟื้อง กึ่งเฟื้อง ผลิตออกใช้เมื่อ 17 กันยายน พ.ศ.2403
ทรงได้โปรดเกล้าฯ ให้ประเทศใช้เงินเหรียญนอกครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ.๒๓๙๙ ครั้งที่สองเมื่อ ปี พ.ศ.๒๔๐๐ และได้ประกาศพิกัดเงินเหรียญนอก เมื่อ ปี พ.ศ.๒๔๐๗ จนถึงปี พ.ศ.๒๔๔๕ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ จึงได้ยกเลิกการใช้เหรียญนอก
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ได้ทรงสั่งเครื่องทำเหรียญกษาปณ์จากอังกฤษมาผลิตเหรียญกษาปณ์ในไทย** (เหรียญกษาปณ์ที่มีรูปแบบเช่นเดียวกับปัจจุบัน) ** ติดตั้งเครื่องใช้งานได้เมื่อ ปี พ.ศ.๒๔๐๓ พระราชทานชื่อว่า โรงกษาปณ์ สิทธิการตั้งอยู่หน้าพระคลังมหาสมบัติตรงมุมถนนออกประตูสุวภาพบริบาลด้านตะวันออกและได้ผลิตเหรียญบาท เหรียญสองสลึง เหรียญสลึง เหรียญเฟื้อง แต่ผลิตได้น้อยไม่พอแก่ความต้องการ
เหรียญกษาปณ์ รัชกาลที่ 4
เหรียญนี้ผลิตออกแทนพดด้วงโดยผลิตจากเครื่องจักรที่สั่งซื้อ จากประเทศอังกฤษ เป็นเหรียญแบน ด้านหน้าเป็นรูปมหามงกุฎเปล่งรัศมี มีฉัตรกระหนาบ 2 ข้าง ด้านหลังเป็นรูปช้างยืนอยู่ตรงกลางพระแสงจักร เหรียญนี้มีราคาตั้งแต่ กึ่งบาท บาท สลึง เฟื้อง กึ่งเฟื้อง ผลิตออกใช้เมื่อ 17 กันยายน พ.ศ.2403

-เหรียญทองชิ้นแรกสร้างจากโรงกษาปณ์ เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ประทับตราจักรทุกมุม น้ำหนัก ๒๐ บาท ทำด้วยทองคำเนื้อดี ตามมูลค่าทองคำหนัก ๑ บาท เท่ากับเงิน ๑๖ บาท เหรียญนี้จึงมีมูลค่า ๓๒๐ บาท
-เหรียญทองแปทศ ทองแปพิศ และทองแปพัดดึงส์ประกาศใช้เมื่อ ปี พ.ศ.๒๔๐๖ ทำด้วยทองคำเนื้อแปดเศษสองมี ๓ ขนาด ราคา ๘ บาท ๔ บาท ๑๐ สลึง เรียกว่า ทศ แปลว่า ๑๐ แป เป็นเงิน ๑ ชั่ง พิศ แปลว่า ๒๐ แปเป็นเงิน ๑ ชั่ง และพัดดึงส์ แปลว่า ๓๒ แปเป็นเงิน ๑ ชั่ง
ใ
-เหรียญทองและเหรียญเงินหนัก ๔ บาท
สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.๒๔๐๗ เนื่องในงาน เฉลิมพระชนม์พรรษา ๖๐ พรรษา ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ เป็นเหรียญตราพระมหาพิชัยมงกุฎหนัก ๔ บาท มี ๒ ชนิด ทำด้วยทองคำ และทำด้วยเงิน ใช้ประดับได้อย่างเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ชาวจีนแต้จิ๋วเรียกเหรียญแต้เหม็งเบี้ยซีก เบี้ยเสี้ยว สร้างเมื่อ ปี พ.ศ.๒๔๐๘ ทำด้วยทองแดง ที่มีตราเหมือนเบี้ยอัฐ และเบี้ยโสฬสอย่างใหญ่เรียกว่า ซีก มีค่า สองอันต่อหนึ่งเฟื้อง อีกชนิดหนึ่งมีขนาดเล็กเรียกว่าเสี้ยว มีค่าสี่อันต่อหนึ่งเฟื้อง
สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.๒๔๐๗ เนื่องในงาน เฉลิมพระชนม์พรรษา ๖๐ พรรษา ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ เป็นเหรียญตราพระมหาพิชัยมงกุฎหนัก ๔ บาท มี ๒ ชนิด ทำด้วยทองคำ และทำด้วยเงิน ใช้ประดับได้อย่างเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ชาวจีนแต้จิ๋วเรียกเหรียญแต้เหม็งเบี้ยซีก เบี้ยเสี้ยว สร้างเมื่อ ปี พ.ศ.๒๔๐๘ ทำด้วยทองแดง ที่มีตราเหมือนเบี้ยอัฐ และเบี้ยโสฬสอย่างใหญ่เรียกว่า ซีก มีค่า สองอันต่อหนึ่งเฟื้อง อีกชนิดหนึ่งมีขนาดเล็กเรียกว่าเสี้ยว มีค่าสี่อันต่อหนึ่งเฟื้อง

เหรียญเมกซิโก ตีตราจักร และมงกุฎ



มีเหรียญ ๑ บาท กึ่งบาท ๑ สลึง เฟื้อง และกึ่งเฟื้องหรือ ๒ ไพ เริ่มสร้างเมื่อไป พ.ศ.๒๔๐๓ เหรียญกึ่งตำลึงสร้างปี พ.ศ.๒๔๐๖ เหรียญตำลึงสร้างปี พ.ศ.๒๔๐๗
กะแปะดีบุก

ลักษณะเช่นเดียวกับเหรียญมงกุฎ มีชนิดราคาแปดอัฐเป็นเฟื้อง และชนิดราคาสิบหกอันเป็นเฟื้องมีอักษรจีน และอักษรอังกฤษ กำกับราคาอยู่ด้วย
เบี้ยทองแดง


เหรียญทองทศ ทองพิศ และทองพัดดึงส์

มีลักษณะเหมือนเหรียญเงินและเหรียญทองมงกุฎ มี ๓ ชนิด คือ ราคา ๘ บาท ๔ บาท และ ๑๐ สลึง


เหรียญกษาปณ์ รัชกาลที่ ๕
สร้างเมื่อปี พ.ศ.๒๔๑๑ - ๒๔๕๓ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ได้มีการสร้างเหรียญเงิน ดีบุก ทองแดง และนิเกิล อีกหลายชนิด มี ๓ ราคา คือ ๑ บาท ๑ สลึง และ ๑ เฟื้อง เรียกกันว่าเหรียญตราพระเกี้ยว

กะแปะดีบุกตราพระเกี้ยว
ลักษณะคล้ายเหรียญบาท มีภาษาอังกฤษและภาษาจีนกำกับราคาอยู่ อันละ ๑ โสฬส โดยเขียนไว้ว่า ๑๖ อันเฟื้อง

ลักษณะเช่นเดียวกับเหรียญเงินรัชกาลที่ห้า ตราแผ่นดิน มีสามชนิดราคาคือ ๑ เสี้ยว ๑ อัฐ และ ๑ โสฬส สร้างเมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๐ ถึง พ.ศ.๒๔๓๘
เหรียญทองแดง(นิเกิล) รัชกาลที่ห้า ช้างสามเศียร
สร้างเมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๐ เลิกใช้เมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๑ มี ๔ ชนิด ด้วยกันคือ ชนิดราคา ๒๐ สตางค์ ๑๐ สตางค์ ๕ สตางค์ และสองสตางค์ครึ่ง
เหรียญสตางค์รัชกาลที่ห้า
มีรูตรงกลางเริ่มใช้พุทธศักราชแทน ร.ศ. มี ๓ ชนิด คือ ชนิดราคา ๑๐ สตางค์ ๕ สตางค์ และ ๑ สตางค์ ทำด้วยนิเกิล หรือเหล็กชุบในราคา ๑๐ และ ๕ สตางค์ และทำด้วยทองแดงในราคา ๑ สตางค์
เหรียญกษาปณ์รัชกาลที่หก
ได้มีการออกแบบเหรียญใหม่มี ๓ ชนิด คือ ชนิดราคา ๑ บาท ๒ สลึง และ ๑ สลึง มีลักษณะคล้ายเหรียญบาทจุฬาลงกรณ์สยามมินทร์ สร้างเมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๖ ถึง ปี พ.ศ.๒๔๖๑
สตางค์รัชกาลที่หก

ลักษณะเช่นเดียวกับสตางค์รัชกาลที่ ๕ มี ๓ ชนิด คือ ชนิดราคา ๑๐ สตางค์ ๕ สตางค์ และ ๑ สตางค์ สร้างเมื่อปี พ.ศ.๒๔๕๖ ถึง ปี พ.ศ.๒๔๖๔ ชนิดราคา ๑๐ สตางค์ และ ๕ สตางค์ ทำด้วยนิเกิ้ล ชนิดราคา ๑ สตางค์ ทำด้วยทองแดง จึงเรียกกันว่าสตางค์แดง
เหรียญกษาปณ์รัชกาลที่เจ็ด

สร้างระหว่างปี พ.ศ.๒๔๖๘ - ๒๔๗๒ มีเหรียญเงิน ชนิดราคา ๕๐ สตางค์ และ ๒๕ สตางค์ สตางค์ทองขาว ชนิดราคา ๕ สตางค์ และสตางค์ทองแดงราคา ๑ สตางค์
เหรียญกษาปณ์รัชกาลที่แปด


มีการสร้างเหรียญทองแดงชนิดราคา ครึ่งสตางค์เป็นครั้งแรกมีการสร้างเหรียญ ๕๐ สตางค์ ๒๕ สตางค์ ๑๐ สตางค์ และ ๕ สตางค์ด้วยดีบุก คนทั่วไปเรียกเหรียญชนิดหัวโต เมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๙ สร้างสตางค์ชนิดราคา ๑๐ สตางค์ และ ๕ สตางค์ด้วยนิเกิล เมื่อ ปี พ.ศ.๒๔๗๘ และ ๒๔๘๐ สร้างสตางค์ชนิดราคา ๒๐ สตางค์ ๑๐ สตางค์ และ ๕ สตางค์ ด้วยเงิน ในปี พ.ศ.๒๔๘๔ สร้างสตางค์ชนิดราคา ๒๐ สตางค์ ๑๐ สตางค์ และ ๕ สตางค์ ด้วยดีบุก ในปี พ.ศ.๒๔๘๔ สร้างสตางค์ชนิดราคา ๑ สตางค์ และ ครึ่งสตางค์ ด้วยทองแดง เมื่อ ปี ๒๔๗๒ - ๒๔๘๒ และสตางค์ทองแดงชนิดราคา ๑ สตางค์ ที่มีลวดลายเหมือนสตางค์เงิน เมื่อ ปี พ.ศ.๒๔๘๔

ปี้

ใช้เป็นตัวนับคะแนนในโรงบ่อนเบี้ย ทำด้วยโลหะ แก้ว และกระเบื้องอย่างใดอย่างหนึ่งมีชนิดราคา ๑ สลึง และ ๒ ไพ มีใช้กันมากกว่า ๕๐๐๐ ชนิด ทางการได้ประกาศเลิกใช้เมื่อปี พ.ศ.๒๔๑๘
เหรียญเงินรัชกาลที่ ๕ ตราแผ่นดิน



เหรียญเงินรัชกาลที่ ๕ ตราแผ่นดิน
เหรียญทองแดงรัชกาลที่ห้า พระสยามเทวาธิราช



เหรียญทองแดง(นิเกิล) รัชกาลที่ห้า ช้างสามเศียร

เหรียญสตางค์รัชกาลที่ห้า

เหรียญกษาปณ์รัชกาลที่หก

สตางค์รัชกาลที่หก


เหรียญกษาปณ์รัชกาลที่เจ็ด


เหรียญกษาปณ์รัชกาลที่แปด



สตางค์ดีบุกรัชกาลที่แปด

มีลักษณะเช่นเดียวกับสตางค์เงินรัชกาลที่แปด ขนาดเล็ก และไม่มีรู สร้างเมื่อ ปี พ.ศ.๒๔๘๕ ชาวบ้านพากันกล่าวว่า "สตางค์ไม่มีรู ศัตรูไม่มีรัง สตางค์ออกใหม่น่าใช้น่าดู" นับว่าเป็นสตางค์ที่ไม่มีรูครั้งแรก เป็นของแปลกสำหรับสมัยนั้น
จากนั้นเป็นต้นมา เราก็ไม่ได้พบเหรียญกษาปณ์ไนราคา ๑ สตางค์อีกเลย เพราะค่าเงินได้ตกต่ำลงไปตามลำดับ
มีชนิดราคา แปดอัฐเป็นเฟื้อง และชนิดราคาสิบหกอันเป็นเฟื้องมีอักษรจีน และอักษรอังกฤษ กำกับราคาอยู่ด้วย
เหรียญกษาปณ์รัชกาลที่เก้า



มีลักษณะเช่นเดียวกับสตางค์เงินรัชกาลที่แปด ขนาดเล็ก และไม่มีรู สร้างเมื่อ ปี พ.ศ.๒๔๘๕ ชาวบ้านพากันกล่าวว่า "สตางค์ไม่มีรู ศัตรูไม่มีรัง สตางค์ออกใหม่น่าใช้น่าดู" นับว่าเป็นสตางค์ที่ไม่มีรูครั้งแรก เป็นของแปลกสำหรับสมัยนั้น
จากนั้นเป็นต้นมา เราก็ไม่ได้พบเหรียญกษาปณ์ไนราคา ๑ สตางค์อีกเลย เพราะค่าเงินได้ตกต่ำลงไปตามลำดับ
มีชนิดราคา แปดอัฐเป็นเฟื้อง และชนิดราคาสิบหกอันเป็นเฟื้องมีอักษรจีน และอักษรอังกฤษ กำกับราคาอยู่ด้วย
เหรียญกษาปณ์รัชกาลที่เก้า

เริ่มสร้างเมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๐ ชนิดราคา ๑ บาท ทำด้วยนิเกิล ต่อมาสร้างเมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๔ ในโอกาสเสด็จนิวัตพระนคร ในปี พ.ศ.๒๕๐๕ และ ปี พ.ศ.๒๕๐๖ ในโอกาสเฉลิมพระชนมายุ ๓ รอบ สร้างเหรียญเงิน ชนิดราคา ๒๐ บาท ในโอกาสเดียวกัน
เหรียญโลหะสีทอง สีนากและสีเงิน รัชกาลที่เก้า
เหรียญโลหะสีทอง สีนากและสีเงิน รัชกาลที่เก้า

แหล่งที่มา
-http://www.royin.go.th/th/knowledge/detail.php?ID=5113
-http://birampol.blogspot.com/2008/08/blog-post_24.htmlชื่่อ น.ส.ภคมน ประสิทธิ์สัมฤทธิ์ ชั้น มัธยมศึกษาปีที่5 ห้อง937 เลขที่21
เสนอ อาจารย์ประพิศ ฝาคำ วิชา32103 ประวัติศาสตร์ไทยด้านเศรษฐกิจ
ภาคเรียนที่2 ปีการศึกษา2556 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น